ผู้ว่าฯศรีสะเกษ สั่งคลายล็อคจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังปิดนานเกือบ 4 เดือน


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 20 ก.ค. นายอรรถพล อรรคบุตร นายอำเภอภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นายสรศิริ จันดีบุตร ปลัดอำเภอ หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง อ.ภูสิงห์ และสมาชิก อส.ภูสิงห์ ที่ 19 ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรช่องสะงำ เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.3 และ เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อฯ ร่วมกันนำป้ายประกาศ คำสั่งจังหวัดศรีสะเกษ ที่ 2962/2563 เรื่อง การผ่อนผันการใช้ช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักร ที่จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ลงนามโดย นายวัฒนา พุฒิชาติ ผวจ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 63
ทั้งนี้ตามที่ทางจังหวัดศรีสะเกษ ได้มีคำสั่งระงับการใช้ช่องทางการเข้า-ออก ของบุคคล ยานพาหนะและสิ่งของ ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. 63 ตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( โควิด-19 ) นั้น เนื่องจากการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ได้ผลดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่12) และมติคณะกรรมการโรคติดต่อศรีสะเกษ จึงมีคำสั่งให้มีการผ่อนผัน ดังนี้ ผ่อนผันการใช้ช่องทางสำหรับการนำเข้า- ส่งออก ขนส่งสินค้าและสินค้าผ่านแดน ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
ให้ผ่อนผันการใช้ช่องทางสำหรับการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของบุคคล ผู้มีสัญชาติไทย ผู้มีเหตุยกเว้นหรือเป็นกรณีที่ นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนดอนุญาตหรือเชิญให้เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามความจำเป็น โดยอาจกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาได้ รวมถึงบุคคลใดในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศหรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ ซึ่งมาปฏิบัติงานในประเทศไทย หรือบุคคลในหน่วยงานระหว่างประเทศอื่นตามที่กระทรวงการต่างประเทศอนุญาตตามความจำเป็น ตลอดจนคู่สมรส บิดา-มารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว
ผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็น แต่เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้กลับออกไปโดยเร็ว ผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ที่ประจำยานพาหนะซึ่งจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ และมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรชัดเจน ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของผู้มีสัญชาติไทย ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งมีใบอนุญาตทำงานหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมาย ตลอดจนคู่สมรสหรือบุตรของบุคคลดังกล่าว
ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาของสถานศึกษาในประเทศไทย ที่ทางการไทยรับรอง ตลอดจนบิดามารดา หรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว ยกเว้นนักเรียนหรือนักศึกษาของโรงเรียนนอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนหรือของสถานศึกษาอื่นของเอกชนที่มีลักษณะคล้ายกันดังนี้ นักเรียนหรือนักศึกษาของสถาบันศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนประเภทนานาชาติหรือมหาวิทยาลัยในหลักสูตรนานาชาติ ทั้งนี้ให้รวมถึงบิดา-มารดา หรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว นักเรียนของโรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือในสังกัดหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งนี้ไม่รวมถึงบิดามารดาหรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว
นักเรียนของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนหรือโรงเรียนของสังกัดอื่นที่มีภารกิจในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ไม่รวมถึงบิดามารดาหรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีความจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในประเทศไทยและผู้ติดตามของบุคคลดังกล่าวแต่ต้องไม่เป็นกรณีเข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 ทั้งนี้เฉพาะผู้มีความจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในประเทศไทยที่เดินทางโดยทางอากาศโดยให้จำกัดจำนวนผู้ติดตามได้ไม่เกิน 3 คน และให้เข้ารับการกักกันในสถานพยาบาลเดียวกันรวมถึงต้องมีระยะเวลาที่อยู่ในราชอาณาจักรไม่น้อยกว่า 14 วัน
ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement ) กับต่างประเทศ ระยะยาวทั้งนี้ให้มีการกำหนดโคต้าจำนวนผู้เดินทางจากประเทศที่มีข้อตกลงพิเศษโดยกระทรวงการต่างประเทศเสนอขอความเห็นชอบจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพทยระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( โควิด-19) ส่วนระยะสั้นทั้งนี้ให้มีการกำหนดโควต้าจำนวนผู้เดินทางจากประเทศที่มีข้อตกลงพิเศษโดยกระทรวงการต่างประเทศเสนอขอความเห็นชอบจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) ให้ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 7/2563 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.

ทีมข่าว จ.ศรีสะเกษ // รายงาน