วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 พ.ต.อ.จามร อันดี ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.ต.บรรจง พาโคตร สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี นำกำลังจับกุมนายวุฒิพงศ์ สิอิ้น หรือบี อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53/2 หมู่ 6 บ้านแร่ ต.พังโคน อ.พังโคน จ.สกลนคร ข้อหา ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและโดยทุจริตหรือโดนหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ” โดยจับกุมได้ถนนต่างระดับ ถนนนิตโย หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ควบคุมตัวไปโรงพักทำการสอบสวน
ทั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ร.ต.อ.วรวิทย์ ซุยลา รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งจาก น.ส.น้อย นามสมมติ อายุ 38 ปี และนายต้น นามสมมติ อายุ 40 ปี ชาวตำบลเชียงพิณ อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นพี่น้องกัน แจ้งว่า เมียนายต้น โดนตำรวจโรงพักเมืองอุดรธานีจับดำเนินคดีข้อหา “ครอบครองยาบ้า 20 เม็ด” และกำลังนำตัวส่งฟ้องศาล ต่อมามีชายไม่ทราบชื่อนามสกุล อ้างตัวว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ และโชว์กุญแจมือ สามารถช่วยเคลียร์คดีให้ได้ แต่ต้องมีค่าดำเนินการ จึงนำสร้อยคอทองคำไปจำนำ นำเงินใส่ซองให้ 12,000 บาท แต่สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้ และมารู้ภายหลังว่าโดนหลอก ชายคนดังกล่าวเป็นตำรวจเก๊ จึงมาแจ้งตำรวจดำเนินคดี โดยภาพกล้องวงจรปิดในโรงพัก สามารถบันทึกคนร้ายเดินอยู่หย้าโรงพัก แล้วขี่รถจยย. หลบหนีไปด้านหลังโรงพัก
จากการสอบสวนนายวุฒิพงศ์ ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า เป็นชาวสกลนคร ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง แต่ชอบตัดผม แต่งกาย มีบุคลิกคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบ ไปป้วนเปี้ยนอยู่บนโรงพัก เข้าตีสนิทผู้เสียหาย หรือญาติ อ้างจะเคลียร์คดีหรือช่วยเหลือ เพื่อหลอกเอาเงิน แต่ตนไม่ได้เป็นตำรวจดังที่กล่าวอ้าง ในวันเกิดเหตุ ได้มาเสียค่าปรับจราจรหมวกกันน็อค ที่โรงพัก ก่อนที่จะไป ตีสนิทหลอกญาติผู้ต้องหาที่โรงพักเมืองอุดรธานี ว่าสามารถเคลียร์คดีกับตำรวจให้ได้ และสามารถช่วยประกันตัวชั้นศาลให้ได้ โดยไม่ต้องติดคุก หากไม่เชื่อก็จะโชว์ภาพถ่ายแต่งเครื่องแบบ เพียงแค่หวังหลอกเอาเงิน เพื่อนำไปใช้จ่ายเที่ยวเตร่
“หลังรู้ว่าผู้เสียหายแจ้งความจับ ตนได้หลบหนีไปอยู่กับเพื่อนที่ จ.สมุทรปราการ และไปก่อเหตุในลักษณะเดียวในพื้นที่ สน.บางแก้ว อ้างตัวว่าเป็นตำรวจจะไปช่วยจับผู้ต้องหาในคดีต้มตุ๋นหลอกลวง ได้เงินไป 40,000 บาท พอความแตกว่าไม่ได้เป็นตำรวจก็โดนผู้เสียหายแจ้งจับอีก ตนก็หนีไปอยู่กับเพื่อนที่ จ.นราธิวาส ก่อนจะหวนกลับมา จ.อุดรธานี ได้วันเดียวก็มาถูกตำรวจจับ”
ต่อมา น.ส.น้อย ผู้เสียหายเดินทางมาโรงพัก ได้มาชี้ตัวนายวุฒิพงศ์ ผู้ต้องหา ยืนยันว่าเป็นคนหลอกลวงเอาเงิน 12,000 บาทไปจริง และต้องการดำเนินคดีกับนายวุฒิพงศ์ จนถึงที่สุด เพราะเป็นภัยของสังคม หากไม่ดำเนินคดีก็จะไปหลอกลวงคนอื่นอีก ตอนนี้สร้อยคอทองคำน้ำหนัก1 บาท กับ1สลึง ที่ตนนำไปจำแล้วนำเงินมาให้ ก็ยังไม่ได้ไถ่เลย ตำรวจจึงควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดี ตามกฎหมาย พ.ต.ต.บรรจง พาโคตร สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า นายวุฒิพงศ์ ผู้ต้องหา มีหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 32/2565 ข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและโดยทุจริตหรือโดนหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ” ซึ่งหากประชาชนที่เคยโดนนายวุฒิพงศ์หลอกลวง ตุ้มตุ๋นบนโรงพักเมืองอุดรธานี ให้มาแจ้งความเพิ่มเติมได้ เพื่อดำเนินคดี ตามกฎหมาย ต่อไป