กาฬสินธุ์ – หลุดเอกสาร “ศาลสงฆ์” ชั้นฏีกา พิพากษา “หลวงพ่อเมือง” ต้องอาบัติปาราชิก ต้องสละสมณเพศภายใน 10 วัน

หลุดเอกสาร “ศาลสงฆ์” ชั้นฏีกา พิพากษา “หลวงพ่อเมือง” ต้องอาบัติปาราชิก ต้องสละสมณเพศภายใน 10 วัน

วันที่ 13 กันยายน 2568  จากกรณี “ศาลฎีกา” สงฆ์โดย “มติมหาเถรสมาคม” สั่งให้พระโพธิญาณมุนี (หลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ) เจ้าอาวาสวัดป่ามัชฌิมาวาส ต้องสละสมณเพศภายใน 10  วัน สร้างความตกใจให้กับประชาชนและศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก  เนื่องจากหลวงพ่อเมืองเป็นพระเถระชื่อดังในพื้นที่ และมีลูกศิษย์เคารพนับถือจำนวนมากทั้งนักการเมืองและพ่อค้านักธุรกิจ
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก พระประทิน อัคคธัมโม รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่ามัชฌิมาวาส ได้มีหนังสือราชการลงวันที่ 11 กันยายน 2568 แจ้งเจ้าคณะตำบลลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เรื่องการลาสิกขาของพระโพธิญาณมุนี หรือที่รู้จักกันในนาม “หลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ”  และต่อมามีการเผยแผ่หนังสือสอบสวนทางพระวินัยระดับชั้น “ฎีกา” ของคณะสงฆ์ออกมาเผยแพร่ ซึ่งมีรายละเอียดังนี้
เนื่องด้วยในการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เลขาธิการมหาเถรสมาคม เสนอว่า อนุสนธิมหาเถรสมาคมมติที่ 723/2567 ในการประชุมมหาเถรสมาคมคร้ังที่ 24/2567 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 กรณี (นาง)โจทย์ยื่นฟ้อง พระโพธิญาณมุนี (เมือง พลวฑฺโฒ) ได้กระทำความผิดล่วงละเมิดพระธรรมวินัยต้องปฐมปาราชิก ได้มีการพิจารณาชั้นตั้น และชั้นอุทธร์มาโดยลำดับ
บัดนี้ คณะผู้พิจารณาชั้นฎีกา ได้ประชุมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 วินิจฉัยอธิกรณ์ดังกล่าวแล้วเสร็จ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำเรื่องนี้เสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดพิจารณา ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
ให้เจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) แจ้งมติมหาเถรสมาคม แก่ เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธรรมยุต) เจ้าคณะอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ (ธรรมยุต) เจ้าคณะตำบลลำพาน (ธรรมยุต) ผู้บังคับบัญชาของจำเลยรูปนั้นทราบ และให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยภายใน 10 วัน
ดังนั้น จึงกราบนิมนต์ พระโพธิญาณมุนี เข้ารับฟังคำวินิจฉัยชั้นฏีกา ณ วัดโสภณพัฒนาราม อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ ในวันที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 12.30 น.
สำหรับรายละเอียดหนังสือพิพากษาในศาลสงฆ์ “ชั้นฏีกา” ของคณะสงฆ์ มีว่า บัดนี้ คณะผู้พิจารณาชั้นฎีกา ได้ประชุมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 วินิจฉัยอธิกรณ์ ดังกล่าวแล้วเสร็จ มีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้  ในการประชุมมหาเถรสมาคม  เมื่อวันที่ 29  สิงหาคม 2568 เลขาธิการมหาเถรสมาคม เสนอว่า อนุสนธิมติมหาเถรสมาคม ในการประชุมมภาเกรสมาค เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 กรณี (นาง)โจทย์ยื่นฟ้องว่า พระโพธิญาณมุนี (เมือง พลวทุโฒ) ได้กระทำความผิดล่วงละเมิด พระธรรมวินัย ต้องอาบัติปฐมปาราชิก (เสพเมถุนธรรม) ได้มีการพิจารณาชั้นต้น และชั้นอุทธรณ์มาโดยลำดับ ต่อมาจำเลยได้ยื่นถวายฎีกา คัดค้านคำวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ และโจทก์ได้แก้ฎีกา มหาเถรสมาคมจึงมีมติให้แต่งตั้งคณะผู้พิจารณาชั้นฏีกา พิจารณาอธิกรณ์พระโพธิญาณมุนี ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม จำนวน 5 รูปนั้น
บัดนี้คณะผู้พิจารณาชั้นฎีกา ได้ประชุมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 วินิจฉัยอธิกรณ์ ดังกล่าวแล้วเสร็จ มีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้ โจทก์ฟ้องว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2557 จำเลยได้เสพเมถุนกับโจทก์ ภายในกุฏิวัดป่ามัชฌิมวาส โดยมีพยานหลักฐานภาพเคลื่อนไหว ขณะอยู่ร่วมกันโดยลำพังภายในกุฏิในสภาพเปลือยกาย อย่างไรก็ดี มีการฟ้องร้องทางคดีอาญาและข้อพิจารณาว่าเป็นพยานหลักฐานที่ผ่านการตัดแปลงหรือไม่ จึงเป็นกรณีที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับพยานหลักฐานและพยานบุคคลจำนวนมาก
คณะผู้พิจารณาชั้นต้นได้พิจารณาโดยอาศัยผลการยืนยันพยานหลักฐานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ตรวจสอบแล้วไม่พบการตัดต่อหรือตัดแปลง และพยานหลักฐานดังกล่าว ประกอบกับ คำพิพากษาของศาลฝ่ายราชอาณาจักร เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า จำเลยได้กระทำความผิด จึงตัดสินให้ต้อง อาบัติปาราชิก จำเลยจึงยื่นตัดค้านต่อคณะผู้พิจารณาชั้นอุทาธรณ์
คณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนในประเด็น พระธรรมวินัยว่า หากไม่ปรากฏพยานหลักฐานขณะกระทำผิดถึงขั้นปาราชิก ปรากฏเพียงขณะเปลือยกาย เพียงลำพังในที่ลับหูลับตา แม้จำเลยปฏิเสธ โดยอาศัยพระพุทธดำรัสในพระวินัยปิฏก เล่มที่ 4 และมติใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประทานพระมหาสมณวินิจฉัยอนิยต กรณีหากพยานหลักฐานประกอบพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อถือ ย่อมปรับอาบัติปาราชิกได้ พิพากษายืนตามชั้นต้น จำเลยยื่นฏีกาต่อมหาเถรสมาคม
คณะผู้พิจารณาชั้นฏีกา ซึ่งมหาเถรสมาคมแต่งตั้ง พิจารณาว่า เมื่อผลการตรวจพิสูจน์ ยืนยันว่าในไฟล์วิดีโอดังกล่าวไม่พบการตัดต่อ และไม่พบการตัดต่อแฟ้มข้อมูลภาพยนตร์ และเทคโนโลยี ในอดีต ไม่สามารถดัดแปลงพยานหลักฐานเช่นว่าได้ ฏีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลย เป็นฏีกาซ้ำความในอุทธรณ์ของจำเลย ซึ่งคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องครบถ้วนดีแล้ว ไม่มีนํ้าหนักหักล้าง ความน่าเชื่อถือในรายงานการตรวจพิสูจน์ของกองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี กลุ่มงานตรวจสอบ และวิเคราะห์การกระทำความผิดทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และไม่มีนํ้าหนักหักล้าง ความน่าเชื่อถือในผลการตรวจพิสูจน์และความเห็นของกลุ่มงานตรวจพิสูจน์อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พุทธศักราช 2566 จึงไม่เป็นสาระสำคัญที่จะทำให้ผลการวินิจฉัยของคณะผู้พิจารณาชั้นฏีกาเปลี่ยนแปลงไป
คณะผู้พิจารณาชั้นฎีกา วินิจฉัยโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้ล่วงละเมิดพระพุทธบัญญัติ ต้องอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ 1 แล้ว โดยการเสพเมถุน กับโจทก์ตามคำฟ้องของโจทก์ตามที่ปรากฏ หลักฐานในคำวินิจฉัยชั้นฎีกา ให้สละสมณเพศภายใน 10 วัน

สำหรับพระโพธิญาณมุนี เกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2489 มีอายุ 78 ปี ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 นับเป็นพรรษา 59 ปี สังกัดธรรมยุติกนิกาย ประจำอยู่ที่วัดป่ามัชฌิมาวาส จ.กาฬสินธุ์ เป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ในด้านตำแหน่งสมณศักดิ์ พระโพธิญาณมุนี ได้รับการแต่งตั้งในปี พ.ศ. 2550 ให้ดำรงตำแหน่ง พระครูปลัดสุวัฒนเมตตาคุณ ซึ่งเป็นตำแหน่งพระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ได้รับการยกฐานะเป็น พระราชาคณะชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระโพธิญาณมุนี

อย่างไรก็ตามพระโพธิญาณมุนี (หลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ) เจ้าอาวาสวัดป่ามัชฌิมาวาส ถือเป็นพระเถระชื่อดัง ซึ่งได้ถูก “สีกา” ร้องเรียนและยื่นฟ้องต่อเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ ว่า หลวงพ่อเมือง ได้กระทำความผิดวินัยบัญญัติในเรื่องการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยว่าต้อง อาบัติปฐมปาราชิก (เสพเมถุนธรรม) และนิคหกรรมตามที่จะลงแก่พระภิกษุเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ โดยได้ยื่นเรื่องมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เป็นเวลานานกว่า 9 ปี ซึ่งในระหว่างนั้นหลวงพ่อเมืองยังคงปฏิบัติหน้าที่พระภิกษุและเป็นที่เคารพนับถือของศรัทธาชาวบ้านต่อเนื่อง


ทั้งนี้การลาสิกขาของพระเถระผู้มีชื่อเสียงอย่างหลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ ในช่วงอายุ 78 ปี พรรษา 59 ปี ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกใจให้แก่พุทธศาสนิกชนในพื้นที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งผู้ที่เคารพนับถือท่านมาเป็นเวลานาน
สำหรับวัดป่ามัชฌิมาวาส ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่อเมืองประจำอยู่ ตั้งอยู่ที่บ้านดงเมือง ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในพื้นที่ และขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุหรือแรงจูงใจที่แท้จริงของการตัดสินใจลาสิกขาบท

ในประเทศ

Related posts