เร่งเครื่องความร่วมมือสามฝ่าย แถลงข่าวขับเคลื่อนโลจิสติกส์-ท่องเที่ยวรถไฟจีน-ลาว-ไทย

ที่สถาบันพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยขอนแก่น อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้มีการจัดงานแถลงข่าวการประชุมด้านโลจิสติกส์และการส่งเสริมการท่องเที่ยว ตามเส้นทางรถไฟจีน-ลาว-ไทยจัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์การประชุมที่จะจัดขึ้นในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ณ สถาบัน ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute) นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของแคมเปญ “10 แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย” ซึ่งมุ่งยกระดับภาคอีสานในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่เชื่อมต่อด้วยเครือข่ายรถไฟระดับภูมิภาค การจัดงานในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำขอนแก่น กงสุลใหญ่แห่ง
และสำนักงานกิจการต่างประเทศของรัฐบาลประชาชนมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน

การจัดงานมีเป้าหมายเพื่อสะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ร่วมในการใช้โครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อเพื่อส่งเสริมการพัฒนาแบบครอบคลุม การบูรณาการทางเศรษฐกิจ และความร่วมมือระหว่างประชาชนในจีนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และไทย ในปาฐกถาเปิดงาน นางสาวหยาง หนิง รองกงสุลใหญ่ กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำขอนแก่น ได้ยืนยัน บทบาทของรถไฟสายนี้ในฐานะเครื่องยนต์ใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค โดยกล่าวว่า “การแถลงข่าวในวันนี้ไม่
เพียงแต่เป็นการเริ่มต้นของแคมเปญเท่านั้น แต่ยังเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์ร่วมของทั้งสามประเทศ รถไฟจีน-ลาว-ไทย
เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างประเทศและการพัฒนาที่ยั่งยืน”

นางสาวหยาง หนิง เน้นย้ำว่า รถไฟสายนี้จะช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนใหม่สำหรับการค้าข้ามพรมแดนและการท่องเที่ยวใน
ภูมิภาค รวมไปถึงการช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนทั้งสามประเทศ ผ่านการประชุมที่จะมาถึงและ
โครงการต่าง ๆ เช่นแคมเปญ ’10 แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม’ ที่จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ สำหรับชุมชนท้องถิ่น ภาค
ธุรกิจ และภาคการท่องเที่ยว “จีนยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการบูรณาการในภูมิภาคผ่านความร่วมมือในทางปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”

นายสุริยัน วิจิตรเลขการ ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ได้เน้นย้ำว่า รถไฟจีน
ลาว-ไทยเป็นมากกว่าเส้นทางเชื่อมต่อทางกายภาพ แต่ยังเป็นเส้นทางเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการฟื้นฟูของเศรษฐกิจ
และความยืดหยุ่นของภูมิภาค “นี่ไม่ใช่เพียงแค่ระเบียงการขนส่ง แต่เป็นแพลตฟอร์มเปลี่ยนแปลงสำหรับโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน การท่องเที่ยว และการเติบโตแบบครอบคลุม” นายสุริยัน กล่าวระหว่างการแนะนำวัตถุประสงค์หลักของการประชุมวันที่ 19 สิงหาคมที่จะมาถึงอีกหนึ่งไฮไลต์ของงานที่สำคัญคือการเปิดตัวแคมเปญ “10 แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม แคมเปญนี้เชิญชวนสาธารณชนร่วมโหวตในหน้าเฟซบุ๊กของสถาบัน ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เพื่อเลือกจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่โดดเด่นในอีสานที่สามารถเข้าถึง ได้ผ่านรถไฟจีน-ลาว-ไทย โดยเชิญชวนให้ผู้ร่วมแคมเปญแสดงความรู้สึกและแสดงความคิดเห็นต่อจุดหมายปลายทางที่ชื่นชอบ เพื่อชิงรางวัลคูปองท่องเที่ยวมูลค่าสูงสุด 5,000 บาท โดยจะจับฉลากและประกาศรายชื่อผู้โชคดีในระหว่างการ ประชุม

นายสุริยันกล่าวว่า แคมเปญนี้มุ่งหวังที่จะช่วยโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวของแต่ละท้องถิ่นเพื่อเฉลิมฉลองมรดกทาง
วัฒนธรรม ภูมิทัศน์ธรรมชาติ และประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน “นี่คือโอกาสในการนำเสนอความมั่งคั่งของอีสาน
ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการสร้างเรื่องเล่าการท่องเที่ยวตามเส้นทางรถไฟ”
งานแถลงข่าวครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งหมดกว่า 40 คน ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ โดยกิจกรรมภายในงานมีช่วงถาม
ตอบ การสัมภาษณ์สื่อ และการสร้างเครือข่าย งานแถลงข่าวในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นความสนใจจากสื่อมวลชน
เท่านั้น แต่ยังช่วยขยายผลลัพธ์ของโครงการในระดับภูมิภาคอีกด้วย
การประชุมด้านโลจิสติกส์และการส่งเสริมการท่องเที่ยวตามเส้นทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย จะจัดขึ้นในวันที่ 19 สิงหาคม2568 ณ โรงแรมพูลแมน จังหวัดขอนแก่น งานนี้จะประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลาย ได้แก่ การเสวนาหลัก การอภิปรายแบบแยกตามประเด็น นิทรรศการ และช่วงจับคู่ธุรกิจ โดยจะรวบรวมผู้เข้าร่วมที่สำคัญ ทั้งผู้กำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ผู้นำธุรกิจ และผู้ประกอบการที่โดดเด่น รวมถึงนักลงทุนและพันธมิตรการพัฒนาที่สนใจในการพัฒนาระเบียงรถไฟสายนี้ การอภิปรายจะมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์สำคัญต่าง ๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งแบบหลายรูปแบบการขยายโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ดิจิทัลการยกระดับการอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น ในการขับเคลื่อนการเติบโตของภูมิภาคอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ
ในประเทศ