ป.ป.ช.ภาค 4 เปิดแถลงผลการดำเนินงานของสำนักงาน
เมื่อเวลา 08.45 น.วันที่ 11 กันยายน 2568 ที่ห้องประชุม สยามมนต์ตรา 1 โรงแรมสยามแกรนด์อุดรธานี เขตเทศบาลนครอุดรธานี นายประภาศ คงเอียด กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานในพิธีเปิดแถลงผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 4 ซึ่งจัดโดยสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 มีนายประทีป จูฑะศร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 4 นายมโนฑ ศรีพรมทอง รอง ปธ.สภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยภาครัฐ เอกชน สมาชิก ป.ป.ช.ภาค 4 , ป.ป.ช.ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 4 และ สื่อมวลชนร่วมจำนวนมาก
นายประภาศ กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นองค์กรนำในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างมประสิทธิภาพโปร่งใส ได้รับความเชื่อมั่น มีค่านิยมองค์กร คือ ซื่อสัตย์เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อกระตุ้นเตือนให้เจ้าหน้าที่ของ สำนักงาน ป.ป.ช.ได้ตระหนักในการปฏิบัติหน้าที่โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในหลายปีที่ผ่านมาสำนักงาน ป.ป.ช.ได้มีแนวทางให้โฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.ภาค และ ป.ป.ช.ประจำจังหวัด มีการแถลงข่าวให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนเดือนละ 1 ครั้ง ปรากฎว่าส่งผลในการสร้างรับรู้ต่อสาธารณชนดีขึ้น มีความเชื่อมั่นต่อ ป.ป.ช.มากขึ้น พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ว่า ควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ การทำงาน และผลงานของสำนักงาน ป.ป.ช.ให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ในวันนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของ สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 4 และสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 4 ซึ่งมีผลงาน 5 เรื่องด้วยกัน คือ เรื่องที่ 1 กรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 4 ได้มีคำพิพากษา นายสมพงษ์ อรุณโรจน์ปัญญา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กับพวก 47 ราย ดำเนินการจัดซื้อสารเคมียาปราบศัตรูพืช โดยการประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินและอนุมัติการเงินทดรองราชการตามที่นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอขอรับการช่วยเหลืองบประมาณจากจังหวัดบึงกาฬ จนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายสารเคมี จึงเป็นการร่วมกันฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 โดยมีห้างซึ่งเป็นผู้รับจ้าง เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติ ครั้งที่ 25/2566 เมื่อวันที่ 01/03/2566 มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและชี้มูลความผิดทางวินัย หรือให้ดำเนินการ ตามอำนาจหน้าที่
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ได้วินิจฉัยว่า นายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กับพวก มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10, 11 และ 12 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 ตามหน้าที่และอำนาจของจำเลยแต่ละราย กรณีทุจริตการจัดซื้อสารป้องกันเชื้อรา (คาร์เบนดาซิมหรือแมนโคแซบ) ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโรคระบาดในข้าวในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ (โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน กรณีโรคระบาด (ข้าว) งบประมาณ 48,927,963 บาท)
เรื่องที่ 2 ศาลตัดสินจำคุก 72 ปี 6 เดือน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล ทุจริตอาหารนักเรียน ผู้สนับสนุนโดน 48 ปี 4 เดือน ความคืบหน้าคดีทุจริตที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ศาลพิพากษาให้ นายสันติ ฤาไชย จำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 145 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 58 ปี 174 เดือน กรณีมีความผิดกระทงหนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปี จึงให้ลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี นางชุติมา ภูขันสูง จำเลยที่ 2 และนางวราภรณ์ ดีจรัส จำเลยที่ 3 กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 87 ปี 116 เดือน จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 29 ปี 232 เดือน
เรื่องที่ 3 ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายสุนทร พิมพาคา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองอิเฒ่า อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ กับพวก ทุจริตการสอบแข่งขัน เพื่อสรรหาและเลือกสรรพนักงานจ้างตามภารกิจ ตำแหน่งผู้ดูแลเด็ก (ทักษะ) เมื่อเดือนเมษายน 2563 การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด
เรื่องที่ 4 ป.ป.ช. ภาค 4 เฝ้าระวังงบประมาณมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 โครงการ บิ๊กอีเวนต์ 2,500 ล้านบาท ตามที่เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกรอบงบประมาณ 2,500 ล้านบาทสำหรับโครงการของจังหวัดอุดรธานี และในวันที่ 8 มีนาคม 2565 สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH) ได้รับรองให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 การลงนามสัญญาเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 ระหว่าง AIPH กับฝ่ายไทย งานมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 ถึง 14 มีนาคม 2570 ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญในแนวคิด “ความหลากหลายแห่งสรรพชีวิต : สายสัมพันธ์แห่งผู้คน สายน้ำและพืชพรรณ สู่การดำรงชีวิตที่ยั่งยืน”
ทั้งนี้ โครงการนี้มีงบประมาณรวม 2,500 ล้านบาท แบ่งความรับผิดชอบหลักออกเป็นหลายส่วน ได้แก่ การออกแบบ Master Plan และ Theme, การควบคุมงานก่อสร้าง, การจัดตกแต่งภูมิทัศน์ โครงสร้างพื้นฐานและอาคาร, การบริหารจัดการ ประชาสัมพันธ์และกิจกรรม รวมถึงค่าลิขสิทธิ์และการตรวจสอบ จาก AIPH ในส่วนของการออกแบบ Master Plan และ Theme ซึ่งใช้งบประมาณ 68.12 ล้านบาท ประสบปัญหาความล่าช้าอย่างมาก โดยการจัดซื้อจัดจ้างครั้งแรกถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 เนื่องจากมีผู้ยื่นอุทธรณ์ แม้จะมีการดำเนินการใหม่และลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 แต่ Master Plan ฉบับสมบูรณ์มีการ ส่งมอบให้กรมวิชาการเกษตรเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 และมีการโอนลิขสิทธิ์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ต่อมามีการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและข้อเสนอแนะของ AIPH ที่ต้องการเร่งงานก่อสร้างและเน้นการปลูกต้นไม้ โดยลดงบประมาณงานก่อสร้างอาคารและภูมิทัศน์จากเดิม 1,811 ล้านบาท ลงเหลือ 1,011 ล้านบาท และนำส่วนต่าง 800 ล้านบาท ไปเพิ่มในส่วนของพืชพรรณ ต้นไม้ และการบำรุงรักษา
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานว่าการปรับลดนี้ไม่ได้กระทบต่อพื้นที่ใช้สอย โครงสร้างและความแข็งแรง ของอาคาร โครงการนี้ต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคสำคัญ หลายประการ ประการแรกคือ ความล่าช้าในการออกแบบผังแม่บท (Master Plan) ซึ่งใช้งบประมาณกว่า 55.7 ล้านบาท กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างครั้งแรกถูกยกเลิกเนื่องจากมีผู้ยื่นอุทธรณ์ ทำให้ต้องดำเนินการใหม่และส่งผลให้ล่าช้า อีกทั้งยังมี ประเด็นความสงสัยจากสื่อมวลชนและภาคประชาชนเกี่ยวกับกรณีการจัดจ้างออกแบบผังแม่บท โดยมีการแก้ไขเอกสารข้อกำหนด (TOR) ให้คุณสมบัติลดลงและเชิญบริษัทเข้าร่วมเสนอน้อยลง นอกจากนี้การดำเนินงานต้องเผชิญกับ ระยะเวลาที่กระชั้นชิด โดยมีเวลาเพียงประมาณ 1 ปีเศษในการก่อสร้างอาคารและภูมิทัศน์มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งการก่อสร้างอาคารและภูมิทัศน์ มีกำหนดแล้วเสร็จเพียง 3 เดือนก่อนเปิดงานในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 ในส่วนของการปรับสภาพพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำยังประสบปัญหาดินไม่สมบูรณ์และดินเค็ม ความกังวลยังรวมถึงผลกระทบต่อปริมาณน้ำดิบสาหรับผลิตน้าประปาของหมู่บ้าน และความเสี่ยงต่อน้ำท่วมในพื้นที่ชุ่มน้ำ การมีคณะทำงานที่ซับซ้อนหลายชุดและการแบ่งอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่ไม่ชัดเจนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นปัญหา
การเฝ้าระวังงบประมาณโดย สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ได้เข้าติดตามความคืบหน้าโครงการและเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นโครงการที่มีงบประมาณสูงและได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ป.ป.ช. ได้เก็บข้อมูลและให้ข้อสังเกตในเชิงป้องปรามหลังจากการจัดทำผังแม่บทแล้วเสร็จ โดยให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบายในโครงการขนาดใหญ่ โดยโครงการขนาดใหญ่คือโครงการที่ของบประมาณหรือได้รับจัดสรรงบลงทุนตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในวงกว้าง การแก้ไขปัญหาการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างบูรณาการจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงเจตจำนงทางการเมืองที่แข็งขันในการสร้างความโปร่งใส เพื่อให้โครงการมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 บรรลุวัตถุประสงค์และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริง
เรื่องที่ 5 ป.ป.ช. ผนึกกำลังหลายหน่วยงาน เร่งแก้ปัญหาบุกรุกเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ เตรียมยกระดับเป็นมาตรการป้องกันการทุจริตระดับประเทศ สืบเนื่องจากกรณีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ได้รับแจ้งเบาะแสจากเครือข่าย ภาคประชาชนถึงกรณีการก่อสร้างแพรีสอร์ทและโรงแรมรุกล้ำพื้นที่ราชพัสดุและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พื้นที่ชลประทานเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานได้เข้าบังคับใช้กฎหมายต่อผู้บุกรุกก่อสร้างบ้านพักและแพรีสอร์ทโดยไม่ได้รับอนุญาตในบริเวณหาดสวนแก้ว เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 การดำเนินการดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าลำปาว, สำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 8 (ขอนแก่น) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งจากการตรวจสอบพื้นที่ พบการบุกรุกที่ดินของเขื่อนประมาณ 11 ไร่ มีการถมดิน เพื่อสร้างบ้านพักประมาณ 2 ไร่ และมีแพรีสอร์ทอีก 10 หลัง แม้ในขณะเข้าตรวจสอบจะไม่พบตัวผู้กระทำความผิด แต่เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างทั้งหมดเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนในพื้นที่ดำเนินคดีต่อไป
ต่อมาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกว่า 8 หน่วยงาน รวมถึงชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อรับทราบปัญหาและลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกัน การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความโปร่งใสและป้องกันปัญหาการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในระดับพื้นที่ การผนึกกำลังของหลายภาคส่วน ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
จากความร่วมมือดังกล่าว ได้นำไปสู่การยกระดับการแก้ไขปัญหาในเชิงนโยบาย โดยเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ได้นำเสนอปัญหาการบุกรุกที่ชลประทาน กรณีศึกษาเขื่อนลำปาว เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐ มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประจำภาค 4 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะดังกล่าว และจะนำไปสู่การจัดทามาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตตามอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใต้มาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติให้ยกเหตุอันควรสงสัยกรณีเจ้าหน้าที่รัฐ
