อุดรธานี – กมธ.ที่ดินนำคณะช่วยแก้ปัญหาอุดร ชาวบ้านชูป้ายต้านสร้าง ม.แพทย์ และต้านโรงไฟฟ้าขยะ

กมธ.ที่ดินนำคณะช่วยแก้ 5 ปัญหาอุดร ชบ.ชูป้าย”โคกขุมปูน”ต้านสร้าง ม.แพทย์ อ.เพ็ญต้านโรงไฟฟ้าขยะ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่ห้องประชุมพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์) ชั้น 3 อาคาร 1 ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร นายณกร ชารีพันธ์ กรรมาธิการฯ นายองค์การ ชัยบุตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ พิพัฒน์ไชยศิริ สส.อุดรธานี เขต 1 พรรคประชาชน และคณะ ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ จ.อุดรธานี โดยมีนายพิสิษฐชัย อภัยปิยกุล รอง ผวจ.อุดรธานี นำหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนชาวบ้านที่เดือดร้อน 5 ประเด็น โดยให้ตัวแทนประเด็นละ 5 คน เข้าร่วมการประชุมฯ

นายพูนศักดิ์ กล่าวว่าที่มาในวันนี้ เนื่องจากได้มีการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนอุดรไปที่คณะกรรมาธิการฯ ในหลายประเด็นด้วยกัน วันนี้จึงได้ลงพื้นที่มาปรึกษากับทางจังหวัดอุดรธานีและคณะกรรมการทุกท่าน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาให้กับทุกท่าน วันนี้มีประเด็นต่าง ๆ อยู่ 5 เรื่องด้วยกัน

โดยมี 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1.การขอใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลง “โคกขุมปูน” ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี ที่กระทบราษฎรที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 2.ความล่าช้าของการออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน ในพื้นที่ ต.ดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี 3.ความไม่ชัดเจนของแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ ต.บ้านจั่น อ.เมือง จ.อุดรธานี ทำให้ราษฎรไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ 4.โครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน โดยการแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าระบบปิดของ บ.เนชั่นแนลคลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด ในพื้นที่ ต.เชียงหวาง และ ต.นาพู่ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี และ 5.การแก้ไขปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินกิจการอุตสาหกรรมไร่มันสำปะหลังในพื้นที่ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี

หลังจากนั้น ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้ให้ตัวแทนของแต่ละประเด็นได้ให้ข้อมูลให้ทราบ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตอบข้อซักถามและวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยกัน โดยประเด็นแรก ซึ่งเป็นประเด็นที่เรื้อรังมานาน คือ การขอใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลง “โคกขุมปูน” ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี ของสถาบันพระบรมราชนก ที่ขอสร้างมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ในเนื้อที่ 500 ไร่ ซึ่งมีผลกระทบกับพื้นที่ที่ประชาชนอยู่เดิมรับเป็นมรดกตกทอดมานับ 100 ปี มีประชากรอยู่กัน 104 ครอบครัว ประชากร 700 คนเศษ โดยเฉพาะนายประเสริฐ สัตตพันธุ์ อายุ 94 ปี กล่าวว่าตนเองอยู่ทำกินในที่ดังกล่าวมาตั้งแต่พ่อแม่ของตนจนถึงปัจจุบันนี้ ก็เป็นที่มรดกของพ่อแม่ ซึ่งอยู่ทำกินในพื้นที่นี้มา 100 กว่าปีแล้ว ก็ไม่อยากให้ที่ดินเหล่านี้ซึ่งจะเป็นของลูกหลานต้องสูญเสียไป จึงได้เดินทางมาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ อยากให้ทางราชการได้ช่วยรักษาสิทธิให้พวกตนด้วย ตายไปลูกหลานจะได้ไม่สาปแช่งตนที่ไม่รักษาไว้ให้เขาได้

และต่อมาได้มีทางตัวแทนของสถาบันฯ เดินทางมาถึง ก็ยอมรับว่าในที่ประชุมของสถาบันฯ เห็นว่าที่นี้มีปัญหา จะทำให้การดำเนินงานล่าช้าไป จึงยอมที่จะไปสร้าง ม.แพทยศาสตร์ในที่ใหม่ ที่ทางจังหวัดเสนอให้เป็นที่สาธารณะประโยชน์ที่ อ.กุดจับ ในเนื้อที่ 300 ไร่ อยู่ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีไป ประมาณ 30 กิโลเมตร และขณะเดียวกันทางจังหวัดกับที่ดินจังหวัดก็จะดำเนินการเรื่องสิทธิของที่ดินที่ โคกขุมปูนให้กับประชาชนให้ถูกต้องตามกฎหมาย

หลังจากนั้นทางคณะกรรมการธิการฯ ก็ได้ปรึกษาในประเด็นอื่น ๆ อีกต่อไปและที่ใช้เวลานานก็คือประเด็นโครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน โดยการแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าระบบปิดในพื้นที่ ต.เชียงหวาง และ ต.นาพู่ อ.เพ็ญ เนื่องจากมีการร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ในที่ประชุมมีนายอนิรุทธิ์ เทศสิงห์ ผอ.เขต สำนักงาน กกพ. ประจำเขต 4 (ขอนแก่น) (สนง.คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน) นายกิตติวัฒน์ ธนพัฒน์ไพบูลย์ ผู้ชำนาญการสิ่งแวดล้อม ที่ปรึกษา บ.เนชั่นแนลคลีนเอ็นเนอร์จี้ จำกัด ได้ตอบคำถามคณะกรรมาธิการฯ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชาวบ้าน เบื้องต้นบริษัทตอบว่ายังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการขออนุญาต และเทคโนโลยีที่นำมาใช้สร้างโรงไฟฟ้าครั้งนี้ ได้ใช้กำจัดขยะที่โรงงานไฟฟ้า จ.ขอนแก่น และ จ.กระบี่ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบกับชุมชนที่อยู่โดยรอบ ส่วนชาวบ้านเอง ยังยืนว่าเกรงจะได้รับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชาวบ้าน

หลังนั้นที่ประชุมฯ ได้กำหนดแนวทางการแก้ไขไว้ดั้งนี้ จะพาตัวแทนชาวบ้านไปเยี่ยมโรงงานที่ จ.ขอนแก่น อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยพาไปดูที่มาแล้ว 1 ครั้ง และอาจจะพาไปดูที่ จ.กระบี่ หากตัวแทนชาวบ้านต้องการเยี่ยมชม และหลังจากนี้ หากจะมีการดำเนินการในขั้นตอนใดต่อไป จะทำการประชาสัมพันธ์ให้เข้มข้นมากขึ้น จะเน้นเสียงตามสายในชุมชน หรือลงพื้นที่ไปหาชาวบ้านด้วยตัวเอง เนื่องจากชาวบ้านเองแย้งมาว่า การประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียล อาจจะเข้าไม่ถึงกลุ่มชาวบ้านที่มีอายุ หรือที่ไม่ได้เล่นโซเชียล

ในประเทศ

Related posts